ประวัติที่มาของเรื่อง
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้ามาจากบทกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy Writen in
a Country Churchyard ของทอมมัส เกรย์ (Thormas Gray)กวีอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 Elegy หมายถึงโคลงที่กล่าวไว้อาลัยหรือคร่ำครวญถึงผู้ที่จากไป
โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
ได้ประพันธ์จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ เป็นกลอนดอกสร้อยจำนวน 33 บท (ในที่นี้คัดมาเพียง
21 บท)
ผู้แต่ง
: พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
ลักษณะคำประพันธ์
: กลอนดอกสร้อย
ประวัติผู้แต่ง
พระยาอุปกิตศิลปะสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ)
เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2422 ศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้เปรียญ 6 ประโยค พ.ศ.
2443
ได้เข้าสอบไล่วิชาครูในโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์สายวลีสัณฐาคารและได้สอนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ
โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ภายหลังเข้ารับราชการในกระทรวงธรรมการ
(กระทรวงศึกษาธิการ) พนักงานกรมราชบัณฑิตย์
ปลัดกรมตำราหัวหน้าการพิมพ์แบบเรียนกรมวิชาการ หัวหน้าแผนกอภิธานสยาม
ได้เลื่อนยศจนเป็นอำมาตย์เอกพระยาอุปกิตศิลปสาร และ
เป็นอาจารย์พิเศษคณะอัษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านเป็นผู้เสนอให้ใช้คำว่า“สวัสดี”
ในการทักทายกัน นามแฝง ในการเขียนบทความ ได้แก่ อ.น.ก. อนึกคำชูชีพ อุนิกา
สามเณรนิ่ม พระมหานิ่ม ม.ห.ม.
ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่
19 พฤษภาคม 2484 และมอบศพให้แก่การศึกษาวิชาแพทย์นับว่าท่านเป็นครูอย่างแท้จริง
จุดประสงค์ของการแต่ง
1.
ชี้ให้เห็นความเป็นอนิจจังของชีวิตสอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต
2.
คุณค่าด้านเนื้อหาอยู่ที่การมุ่งแสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ว่า
“ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายได้”
3. แสดงความรู้สึกยกย่องชีวิตอันสงบ เรียบง่ายและความสุขอันเกิดจากความสันโดษ
เป็นการให้คติธรรมอันทรงคุณค่าแก่การดำเนินชีวิต
เนื้อเรื่องย่อ
ในเวลาเย็นใกล้ค่ำชายผู้หนึ่งเข้าไปนั่งอยู่ในวัดชนบทแห่งหนึ่งที่มีแต่ความเงียบสงบ
เมื่อได้ยินเสียงระฆังย่ำบอกเวลาใกล้ค่ำ เขาเห็นชาวนาพากันจูงวัวควายเดินทางกลับบ้าน
เมื่อสิ้นแสงตะวันได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรและเสียงเกราะในคอกสัตว์
นำแสกที่จับอยู่บนหอระฆังก็ส่งเสียงร้อง ณ บริเวณโคนต้นโพธิ์ ต้นไทรนั้นเอง
มีหลุมฝังศพต่าง ๆ อยู่มากมาย
ความเงียบสงบและความวิเวกก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในสัจธรรมของชีวิต ท่านผู้นั้นจึงรำพึงรำพันออกมาเป็นบทกวีว่า
แม้ผู้ดีมีจน นาย ไพร่ นักรบ กษัตริย์ ต่างก็มีจุดจบคือความตายเหมือนกัน
ตัวอย่างบทประพันธ์ในกลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
๑ วังเอ๋ยวังเวงหง่างเหง่ง!
ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาลค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑลและทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียวเอย
ถอดคำประพันธ์
เสียงระฆังตีย่ำดังหง่างเหง่ง
มาทำให้เกิดความวังเวงใจยิ่งนัก
ในขณะที่ฝูงควายก็เคลื่อนจากท้องทุ่งลาเวลากลางวันเพื่อมุ่งกลับยังถิ่นที่อยู่ของมัน
ฝ่ายพวกชาวนาทั้งหลายรู้สึกเหนื่อยอ่อนจากการทำงานต่างก็พากันกลับถิ่นพำนักของตนเมื่อตะวันลับขอบฟ้าก็ไม่มีแสงสว่าง
ทำให้ท้องทุ่งมืดไปทั่วบริเวณและทิ้งให้ข้าพเจ้าเปล่าเปลี่ยวอยู่แต่เพียงผู้เดียว
๒
ยามเอ๋ยยามนี้ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาลสงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่จังหรีดกระกรีดกริ่ง!
เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะ!
เพียงรู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่วเอย
ถอดคำประพันธ์
ยามนี้แผ่นดินมืดไปทั่ว
อากาศเย็นยะเยือกหนาว เพราะเป็นเวลากลางคืน และป่าใหญ่แห่งนี้ก็เงียบสงัด
มีแต่จิ้งหรีดและเรไรร้องกันเซ็งแซ่ไปหมด เจ้าของคอกวัวควายต่างก็รัวเกราะกันเป็นเสียงเปราะๆ
ทำให้รู้ว่าเป็นเสียงเกราะดังแว่วมาแต่ไกล
๓ นกเอ๋ยนกแสกจับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอกหอระฆังบังแสงจันทร์มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดูคนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมาให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมันเอย
ถอดคำประพันธ์
นกแสกร้องแจ๊ก
ๆ เพื่อทำให้เสียขวัญ มันจับอยู่บนหอระฆังที่มีเถาวัลย์พันรุงรังถึงหลังคาและบัง แสงจันทร์อยู่
เหมือนมันจะฟ้องดวงจันทร์ว่าให้หันมาดูผู้คนที่มาสู่ที่อยู่มันรักษาไว้
ซึ่งถือเป็นส่วนที่เฉพาะส่วนตัว มานาน ทำให้มันไม่มีความสุข
๔
ต้นเอ๋ยต้นไทรสูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายามีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้ดุษณีนอนราย
ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจเรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวันเอย
ถอดคำประพันธ์
มีต้นไม้สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้าและต้นโพธิ์ที่เป็นพุ่มแผ่ร่มเงาออกไปโดยรอบ
ที่ใต้ต้นไม้มีเนินหญ้าเป็นที่ฝังศพคนในระแวกแถวนี้
ซึ่งนอนนิ่งอยู่เกลื่อนไปหมดในหลุมลึก ดูแล้วน่าสลดใจอย่างยิ่งนัก
และตัวของข้าพเจ้าเองก็ใกล้หลุมนี้เข้าไปทุกวัน
๕ หมดเอ๋ยหมดห่วงหมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบายเตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้นทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียงพ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุกเอย
ถอดคำประพันธ์
หมดห่วงเนื่องจากดวงวิญญาณได้แตกสลายไปแล้วถึงแม้ว่าลมยามเช้าจะชายพัดให้สดชิ้น
เป็นการเตือนนกแอ่นลมให้เคลื่อนออกจากที่แผดร้องไปตามโรงนาทั้งไก่ก็ขันแข่งกับนกดุเหว่า
เหมือนจะช่วยกันปลุกร่างของผู้นอนรายเรียงที่อยู่ให้หลุมฝังศพให้ตื่นขึ้นแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ยินเสียงปลุกเสียแล้ว
ที่มา : (https://nongnanlovelove.wordpress.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น